กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
ประวัติที่มาของเรื่อง
กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้ามาจากบทกวีนิพนธ์เรื่อง Elegy Writen in a Country Churchyard ของทอมมัส เกรย์ (Thormas Gray)กวีอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 Elegy หมายถึงโคลงที่กล่าวไว้อาลัยหรือคร่ำครวญถึงผู้ที่จากไป โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ได้ประพันธ์จากต้นฉบับแปลของเสฐียรโกเศศ เป็นกลอนดอกสร้อยจำนวน 33 บท(ในที่นี้คัดมาเพียง 21 บท)
คุณค่า มุ่งแสดงความจริงเกี่ยวกับชีวิต โดยเสนอแนวคิดหลักว่า มนุษย์ทุกผู้ทำนามไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญหรือสามัญชนไม่มีผู้ใดหลีกหนีความตายไปได้
ลักษณะคำประพันธ์
กลอนดอกสร้อย ซึ่งมีลักษณะเหมือนกลอนสุภาพ เพียงแต่ขึ้นต้นด้วย เอ๋ย ลงท้ายด้วยเอย คณะ 1 บทมี 8 วรรค
๑. วังเอ๋ยวังเวง | หง่างเหง่ง! ย่ำค่ำระฆังขาน |
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล | ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน |
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ | ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน |
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล | และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย. |
ถอดความ
เสียงระฆังดังหง่างเหง่ง ในเวลาใกล้ค่ำทำให้เกิดความวังเวง ฝูงวัวควายก็เคลื่อนจากท้องทุ่งเพื่อกลับถิ่นของมัน ฝ่ายชาวนาที่เหนื่อยอ่อนจากการทำงานก็กลับที่อยู่ของตน ตะวันลับขอบฟ้าไม่มีแสงสว่าง ทำให้ท้องทุ่งมืดมิดและทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่เพียงผู้เดียว
๒. ยามเอ๋ยยามนี้ | ปถพีมืดมัวทั่วสถาน |
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล | สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง |
มีก็แต่เสียงจังหรีดกระกรีดกริ่ง! | เรไรหริ่ง! ร้องขรมระงมเสียง |
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะแปะ ! เพียง | รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย. |
ถอดความ
ในเวลานี้ทั่วแผ่นดินมืดมิด อากาศหนาวเย็น เพราะเป็นเวลากลางคืน ป่าใหญ่แห่งนี้เงียบสงัด มีแต่เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และก็ได้ยินเสียงเกราะรัวจากคอกวัวควาย ดังแว่วมาแต่ไกล
๓. นกเอ๋ยนกแสก | จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ |
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจันทร์ | มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา |
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดู | คนมาสู่ซ่องพักมันรักษา |
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมา | ให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมัน เอย. |
ถอดความ
เสียงนกแสกร้องขึ้นมาทำให้ข้าพเจ้าเสียขวัญ นกแสกมันจับอยู่บนหอระฆังที่บัง แสงจันทร์และมีเถาวัลย์รุงรังพันถึงหลังคา เหมือนกับมันจะฟ้องให้ดวงจันทร์หันมาดูผู้คนที่มาอยู่ในที่ที่มันรักษาไว้(ป่าช้า) ซึ่งถือเป็นที่เฉพาะส่วนตัวของมันมานาน ทำให้มันไม่มีความสุข
๔. ต้นเอ๋ยต้นไทร | สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า |
และต้นโพธิ์พุ่มแจ้แผ่ฉายา | มีเนินหญ้าใต้ต้นเกลื่อนกล่นไป |
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้ | ดุษณีนอนราย ณ ภายใต้ |
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจ | เรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวัน เอย. |
ถอดความ
มีต้นไทรสูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้าและต้นโพธิ์ที่เป็นพุ่มแผ่ร่มเงาออกไปโดยรอบ ที่ใต้ต้นไม้มีเนินหญ้าซึ่งเป็นที่ฝังศพของคนในเขตนั้น ศพที่นอนนิ่งอยู่ในหลุมลึกดูแล้วรู้สึกสลดใจ และตัวข้าพเจ้าเองก็ใกล้จะได้นอนอยู่ในหลุมนั้นเช่นกัน
๕. หมดเอ๋ยหมดห่วง | หมดดวงวิญญาณลาญสลาย |
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบาย | เตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง |
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้น | ทั้งไก่ขันแข่งดุเหว่าระเร้าเสียง |
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียง | พ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุก เอย. |
ถอดความ
หมดห่วง เนื่องจากดวงวิญญาณได้แตกสลายไปแล้ว ถึงแม้ว่าลมยามเช้าจะพัดให้สดชื่น เตือนนกนางแอ่นให้เคลื่อนออกจากรังและส่งเสียงร้องไปตามโรงนา ไก่ก็ขันแข่งกับนกดุเหว่า เหมือนจะช่วยปลุกร่างของผู้ที่นอนเรียงรายในหลุมฝังศพให้ตื่นขึ้นแต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ยิน
๖. ทอดเอ๋ยทอดทิ้ง | ยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า |
ทิ้งเพื่อนยากแม่เหย้าหาข้าวปลา | ทุกเวลาเช้าเย็นเป็นนิรันดร์ |
ทิ้งทั้งหนูน้อยน้อยร่อยร่อยรับ | เห็นพ่อกลับปลื้มเปรมเกษมสันต์ |
เข้ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ | สารพันทอดทิ้งทุกสิ่ง เอย. |
ถอดความ
ยามหนาวเคยนั่งผิงไฟอยู่พร้อมหน้า แต่ต้องมาทิ้งเพื่อนทิ้งแม่เรือนที่คอยหุงหาอาหารให้รับประทานเช้าเย็น ทิ้งลูกน้อยที่เมื่อเห็นหน้าพ่อกลับมาก็ดีใจกอดคอฉอเลาะด้วยเสียงที่น่าฟัง แต่แล้วก็ต้องทอดทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป
๗. กองเอ๋ยกองข้าว | กองสูงราวโรงนายิ่งน่าใคร่ |
เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวใคร | ใครเล่าไถคราดพื้นฟื้นแผ่นดิน |
เช้าก็ขับโคกระบือถือคันไถ | สำราญใจตามเขตประเทศถิ่น |
ยึดหางยามยักไปตามใจจินต์ | หางยามผินตามใจเพราะใคร เอย. |
ถอดความ
เห็นกองข้าวสูงราวโรงนาช่างน่ายินดี กองข้าวนี้เกิดจากการเก็บเกี่ยวจากเคียวของใคร หรือใครเป็นคนไถคราดพลิกฟื้นแผ่นดินนี้ เช้าก็ต้อนวัวควายและถือคันไถออกไปยังท้องนาอย่างสำราญใจ จับหางไถไถไปในทิศทางต่าง ๆ ตามใจตน
๘. ตัวเอ๋ยตัวทะยาน | อย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน |
ดูถูกกิจชาวนาสารพัน | และความครอบครองกันอันชื่นบาน |
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด | มีปวัฒน์เป็นไปไม่วิตถาร |
ขออย่าได้เย้ยเยาะพูดเราะราน | ดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตู เอย. |
ถอดความ
ความทะเยอทะยาน ขออย่าบันดาลใจให้ดูถูกชาวนาและครอบครัวอันชื่นบานของเขา เพราะชาวนาต่างเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มีความเป็นไปอย่างปกติ ขออย่างได้พูดจาเยาะเย้ยดูหมิ่นการเป็นอยู่ของเขา
๙. สกุลเอ๋ยสกุลสูง | ชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี |
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์ | ความงามนำให้มีไมตรีกัน |
ความร่ำรวยอวยสุขให้ทุกอย่าง | เหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์ |
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้น | แต่ล้วนผันมาประจบหลุมศพ เอย. |
ถอดความ
คนมีชาติตระกูลสูง ทำให้จิตใจพองโตขึ้นคิดว่าตนมีศักดิ์ศรีเหนือผู้อื่น คนมีอำนาจนำความสง่างามมาให้ชีวิต คนมีหน้าตางดงามทำให้คนอื่นรักใคร่ คนมีฐานะร่ำรวยย่อมหาความสุขได้ทุกอย่าง แต่ทุกคนต่างก็รอความตายเช่นเดียวกัน วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดล้วนมารวมกันที่หลุมฝังศพ
๑๐. ตัวเอ๋ยตัวหยิ่ง | เจ้าอย่าชิงติซากว่ายากไร้ |
เห็นจมดินน่าสลดระทดใจ | ที่ระลึกสิ่งไรก็ไม่มี |
ไม่เหมือนอย่างบางศพญาติตบแต่ง | เครื่องแสดงเกียรติยศเลิศประเสริฐศรี |
สร้างสานการบุญหนุนพลี | เป็นอนุสาวรีย์สง่า เอย. |
ถอดความ
ผู้ที่เย่อหยิ่งทั้งหลาย อย่าได้ตำหนิซากศพผู้ยากไร้ แม้ศพเหล่านี้จะนอนจมดินน่าสลดใจและที่ไม่สามารถระลึกถึงสิ่งใดได้เลยก็ตาม ไม่เหมือนอย่างบางศพที่ญาติตบแต่งด้วยเครื่องแสดงเกียรติยศอย่างดี โดยการสร้างอนุสาวรีย์อันสง่างามเพื่อเคารพบูชา
๑๑. ที่เอ๋ยที่ระลึก | ถึงอธึกงามลบในภพพื้น |
ก็ไม่ชวนชีพที่ดับให้กลับคืน | เสียงชมชื่นเชิดชูคุณผู้ตาย |
เสียงประกาศเกียรติเอิกเกริกลั่น | จะกระเทือนถึงกรรณนั้นอย่าหมาย |
ล้วนเป็นคุณแก่ผู้ยังไม่วางวาย | ชูเกียรติญาติไปภายภาคหน้า เอย. |
ถอดความ
ที่ระลึกที่สร้างขึ้นถึงแม้จะงามเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมาได้ เสียงชื่นชมเชิดชูในคุณงามความดีของผู้ตาย ผู้ตายก็ไม่สามารถรับรู้ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นคุณแก่ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่
๑๒. ร่างเอ๋ยร่างกาย | ยามตายจมพื้นดาษดื่นหลาม |
อย่าดูถูกถิ่นนี้ว่าที่ทราม | อาจขึ้นชื่อลือนามในก่อนไกล |
อาจจะเป็นเจดีย์มีพระศพ | แห่งจอมภพจักรพรรดิกษัตริย์ใหญ่ |
ประเสริฐด้วยสัตตรัตน์จรัสชัย | ณ สมัยก่อนกาลบุราณ เอย. |
ถอดความ
ร่างกายของคนตายจมอยู่ใต้พื้นดินมากมาย ขออย่าได้ดูถูกถิ่นที่นี้ว่าไม่ดี เพราะอาจจะเป็นสถานที่มีชื่อเสียงมาก่อน อาจเป็นเจดีย์ หรือที่ฝังศพของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อันประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการในสมัยโบราณก็ได้
๑๓. ความเอ๋ยความรู้ | เป็นเครื่องชูชี้ทางสว่างไสว |
หมดโอกาสที่จะชี้ต่อนี้ไป | ละห่วงใยอยากรู้ลงสู่ดิน |
อันความยากหากให้ไร้ศึกษา | ย่นปัญญาความรู้อยู่แค่ถิ่น |
หมดทุกข์ขลุกแต่กิจคิดหากิน | กระแสวิญญาณงันเพียงนั้น เอย. |
ถอดความ
ความรู้เป็นเครื่องชี้ทางไปสู่ความก้าวหน้า แต่ตอนนี้หมดโอกาสแล้ว จำต้องละความห่วงใยทั้งหมดไปสู่ความตาย ความยากจนทำให้ไม่ได้รับการศึกษา ได้รับความรู้อยู่เฉพาะในท้องถิ่นของตน และขณะนี้ก็หมดทุกข์เกี่ยวกับการทำมาหากินเพราะวิญญาณนั้นคงหยุดอยู่เพียงเท่านี้
ความรู้เป็นเครื่องชี้ทางไปสู่ความก้าวหน้า แต่ตอนนี้หมดโอกาสแล้ว จำต้องละความห่วงใยทั้งหมดไปสู่ความตาย ความยากจนทำให้ไม่ได้รับการศึกษา ได้รับความรู้อยู่เฉพาะในท้องถิ่นของตน และขณะนี้ก็หมดทุกข์เกี่ยวกับการทำมาหากินเพราะวิญญาณนั้นคงหยุดอยู่เพียงเท่านี้
๑๔. ดวงเอ๋ยดวงมณี | มักจะลี้ลับอยู่ในภูผา |
หรือใต้ท้องห้องสมุทรสุดสายตา | ก็เสื่อมซาสิ้นชมนิยมชน |
บุปผชาติชูสีและมีกลิ่น | อยู่ในถิ่นที่ไกลเช่นไพรสณฑ์ |
ไม่มีใครได้เชยเลยสักคน | ย่อมบานหล่นเปล่าดายมากมาย เอย. |
ถอดความ
แก้วมณีสิ่งที่มีค่ามักอยู่ในที่ลี้ลับ เช่น ภูเขา ท้องทะเลลึก สุดตายตาไม่มีใครสามารถมองเห็น ทำให้กลายเป็นสิ่งไร้ค่าไม่มีผู้ใดได้ชื่นชม เปรียบเสมือนกับดอกไม้ที่มีสีสวยกลิ่นหอมแต่อยู่ห่างไกล เช่น ในป่า ไม่มีใครได้เห็นหรือเชยชมสักคน ย่อมบานแล้วหล่นไปเปล่า ๆ อย่างน่าเสียดาย
๑๕. ซากเอ๋ยซากศพ | อาจเป็นซากนักรบผู้กล้าหาญ |
เช่นชาวบ้านบางระจันขันรำบาญ | กับหมู่ม่านมาประทุษอยุธยา |
ไม่เช่นนั้นท่านกวีเช่นศรีปราชญ์ | นอนอนาถเล่ห์ใบ้ไร้ภาษา |
หรือผู้กู้บ้านเมืองเรืองปัญญา | อาจจะมานอนจมถมดิน เอย. |
ถอดความ
ซากศพทั้งหลายเหล่านี้ อาจเป็นซากศพของนักรบผู้กล้าหาญ เช่น ชาวบ้านบางระจันที่สู้รบกับกองทัพพม่าที่มาโจมตีกรุงศรีอยุธยา หรือศพกวีศรีปราชญ์ที่นอนนิ่งไม่พูดจา หรือศพผู้ที่กู้บ้านเมืองหรือผู้มีปัญญาอื่น ๆ ซึ่งอาจนอนถมจมดินอยู่
๑๘. มักเอ๋ยมักใหญ่ | ก่นแต่ใฝ่ฝันฟุ้งตามมุ่งหมาย |
อำพรางความจริงใจไม่แพร่งพราย | ไม่ควรอายก็ต้องอายหมายปิดบัง |
มุ่งแต่โปรยเครื่องปรุงจรุงกลิ่น | คือความฟูมฟายสินลิ้นโอหัง |
ลงในเพลิงเกียรติศักดิ์ประจักษ์ดัง | เปลวเพลิงปลั่งหอมกลบตลบ เอย. |
ถอดความ
พวกมักใหญ่ใฝ่สูงจะทำในสิ่งที่ตนมุ่งหมายไว้และปิดบังความจริงบางอย่างไว้ไม่เปิดเผย สิ่งที่ไม่ควรอายก็อาย แสดงให้เห็นว่าภายนอกดูดี ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินฐานะ พูดจาอวดดีเพื่อแสดงความมีเกียรติของตนให้ผู้อื่นเห็น อันเป็นการปกปิดความจริงที่ไม่ดีงามของตนไว้
๑๙. ห่างเอ๋ยห่างไกล | ห่างจากพวกมักใหญ่ฝักใฝ่หา |
แต่สิ่งซึ่งเหลวไหลใส่อาตมา | ความมักน้อยชาวนาไม่น้อมไป |
เพื่อนรักษาความสราญฐานวิเวก | ร่มเชื้อเฉกหุบเขาลำเนาไศล |
สันโดษดับฟุ้งซ่านทะยานใจ | ตามวิสัยชาวนาเย็นกว่า เอย. |
ถอดความ
ขอให้อยู่ห่างพวกมักใหญ่ใฝ่สูง ซึ่งทำแต่สิ่งเหลวไหลใส่ตัวเอง โดยไม่ดูความมักน้อยของชาวนาเป็นตัวอย่าง ดังนั้นเพื่อรักษาความสบายใจและความวิเวกร่มเย็นเหมือนอยู่ในป่าเขา ควรถือสันโดษไม่ฟุ้งซ่านทะเยอทะยาน ตามแบบของชาวนาจะทำให้จิตใจเยือกเย็น
๒๐. ศพเอ๋ยศพไพร่ | ไม่มีใครขึ้นชื่อระบือขาน |
ไม่เกรงใครนินทาว่าประจาน | ไม่มีการจารึกบันทึกคุณ |
ถึงบางทีมีบ้างเป็นอย่างเลิศ | ก็ไม่ฉูดฉาดเชิดประเสริฐสุนทร์ |
พอเตือนใจได้บ้างในทางบุญ | เป็นเครื่องหนุนนำเหตุสังเวช เอย. |
ถอดความ
ศพของบุคคลธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จักไม่ใครยกย่อง ไม่ต้องกลัวว่าใครจะนินทาเพราะไม่ได้จารึกสิ่งใดไว้ แม้บางครั้งจะมีการยกย่องในคุณงามความดีบ้าง แต่ก็ไม่เต็มที่ ทำพอเป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดีหรือเพื่อเป็นเครื่องหนุนเพื่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าสลดหดหู่ต่อผู้ที่ตายไปเท่านั้น
๒๑. ศพเอ๋ยศพสูง | เป็นเครื่องจูงจิตให้เลื่อมใสศานต์ |
จารึกคำสำนวนชวนสักการ | ผิดกับฐานชาวนาคนสามัญ |
ซึ่งอย่างดีก็มีกวีเถื่อน | จากรึกชื่อปีเดือนวันดับขันธ์ |
อุทิศสิ่งซึ่งสร้างตามทางธรรม์ | ของผู้นั้นผู้นี้แก่ผี เอย. |
ถอดความ
ศพบางศพมีคำจารึกที่จูงใจให้เลื่อมใสและสักการะ ต่างจากชาวนาหรือคนธรรมดาซึ่งจารึกเพียงชื่อวันเดือนปีที่ตายไป เพื่อจะได้มีชื่อเรียกในการอุทิศส่วนกุศลให้คนตายที่ชื่อนั้นชื่อนี้
๒๒. ห่วงเอ๋ยห่วงอะไร | ไม่ยิ่งใหญ่เท่าห่วงดวงชีวิต |
แม้คนลืมสิ่งใดได้สนิท | ก็ยังคิดขึ้นได้เมื่อใกล้ตาย |
ใครจะยอมละทิ้งซึ่งสิ่งสุข | เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย |
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย | โดยไม่ชายตาใฝ่อาลัย เอย. |
ถอดความ
ห่วงอะไรก็ไม่เท่าห่วงชีวิตของตนเอง แม้จะลืมที่ใดไปหมดแต่เมื่อใกล้ตายก็ยังคิดถึงชีวิตของตนเอง ใครจะยอมละทิ้งความสุขความสบายไปโดยไม่อาลัยไยดี
๒๓. ดวงเอ๋ยดวงจิต | ลืมสนิทกิจการงานทั้งหลาย |
ย่อมละชีพเคยสุขสนุกสบาย | เคยเสียดายเคยวิตกเคยปกครอง |
ละทิ้งถิ่นที่สำราญเบิกบานจิต | ซึ่งเคยคิดใฝ่เฝ้าเป็นเจ้าของ |
หมดวิตกหมดเสียดายหมดหมายปอง | ไม่ผินหลังเหลียวมองด้วยซ้ำ เอย. |
ถอดความ
ขอให้ดวงจิตจงลืมกิจการงานทั้งหลาย ที่เคยสุขสนุกสบาย เคยเสียดาย เคยวิตกและเคยปกครอง ละทิ้งถิ่นที่เคยให้ความสุขซึ่งเคยคิดเป็นเจ้าของ ขอให้หมด วิตก หมดเสียดาย หมดความปรารถนา โดยไม่หันหลังเหลียวมองมันอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น